ยินดีต้อนรับ

ยินดีต้อนรับทุกท่าน...รับรู้ข่าวสารด้วยรายงานข่าวจาก ฝอ.2 บก.อก.ภ.6

11 มกราคม 2554

คอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ก็ไม่มีอะไรใหม่จนน่าเซอร์ไพรส์ ของขวัญ 9 ชิ้น  ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดงานใหญ่แถลงทางโทรทัศน์เมื่อวันอาทิตย์ มาตรการส่วนใหญ่ก็เป็นการ หาเสียงกับคนบางกลุ่มในเมืองหลวง  ที่พรรคประชาธิปัตย์ยังเข้าไม่ค่อยถึงมากกว่า และมาตรการส่วนใหญ่ก็ไปเริ่มใน เดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่คาดกันว่าจะมีการ เลือกตั้งใหม่ พอดี
ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็หนีไม่พ้น การหาเสียงเพื่อเลือกตั้ง อยู่ดี บาง มาตรการแทนที่จะเป็นผลดีต่อบ้านเมือง กลับเป็นผลเสียต่อบ้านเมืองด้วยซ้ำ
ของขวัญชิ้นแรก ที่ นายกฯอภิสิทธิ์  แถลงก็คือ การเปิดโอกาสให้แรงงานนอกระบบกว่า 10 ล้านคน เข้าสู่ระบบประกันสังคม มาตรการนี้ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินเองจำนวนหนึ่ง และรัฐบาลจัดสรรงบประมาณจ่ายสมทบให้อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อลดภาระผู้ประกันตนที่อยู่นอกระบบ ของขวัญชิ้นนี้ผมเห็นด้วย  เป็นเรื่องที่ดีน่าสนับสนุน ช่วยให้คนทำงานทุกคนได้มีหลักประกันเรื่องค่าใช้จ่ายในยามเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต อีกช่องทางหนึ่ง
เช่น กรณีจ่าย 70 บาท รัฐบาลจ่ายสมทบอีก 30 ผู้ประกันก็ได้สิทธิ 3 อย่าง คือ ชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ถ้าใครจ่าย 100 บาท รัฐบาลสมทบอีก 50 บาท ก็จะได้สิทธิเรื่องบำเหน็จชราภาพด้วย
แต่ ของขวัญชิ้นที่ 2-3-4 ใครฟังก็รู้ว่าเป็นการ "หาเสียง" โดยตรงกับ กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ และ หาบเร่แผงลอย ใน กทม.
ของขวัญชิ้นนี้รัฐบาลจะจัดสรรเงิน 1,600 ล้านบาท ให้คนขับแท็กซี่ที่มีประสบการณ์ 3 ปีขึ้นไป กู้ไปซื้อรถแท็กซี่เป็นของตัวเอง และจัดสรรเงินอีกก้อนให้ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยใน กทม. กู้ไปลงทุนเพิ่มเติม  รวมทั้งการขึ้นทะเบียนวินมอเตอร์ไซค์ในกรุงเทพมหานครทั้งหมด เพื่อไม่ต้องจ่ายค่านักเลงคุมวินเดือนละ 1,000-2,000 บาท (อันหลังนี้คงจะสำเร็จยาก)
ของขวัญชิ้นที่แย่ที่สุด ก็คือ การเพิ่มจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอยบนทางเท้าที่ผิดกฎหมายและละเมิดสิทธิผู้อื่นอีก 20,000 รายใน กทม. โดยไม่คำนึกถึง "คุณภาพชีวิต" ของประชาชนในเมืองหลวง ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่สุด แต่นายกฯกลับเอาใจหาบเร่แผงลอยเพื่อหาเสียงกลุ่มเดียว คิดได้สั้นดี
ของขวัญชิ้นที่ 5 เป็นเรื่อง การแยกราคาก๊าซแอลพีจี ระหว่าง ผู้ใช้ในครัวเรือน กับ ผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรม นายกฯบอกว่า รัฐบาลจะเลิกอุดหนุนราคาก๊าซแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรมตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป แต่ในภาคครัวเรือนยังคงตรึงราคาไว้เหมือนเดิม    มาตรการนี้จะช่วยประหยัดการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ 7,300 ล้านบาท จะได้ช่วยดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้แพงกว่า 30 บาทไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์เรื่องแยกราคาก๊าซแอลพีจี ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่ควรทำมานานแล้ว ทุกวันนี้กลไกราคาแอลพีจีในเมืองไทยถูกบิดเบือนจากการตรึงราคาจนกลายเป็นสินค้าการเมืองไปแล้ว นักการเมืองทุกสมัยไม่กล้าแตะ ได้แต่ตรึงราคาต่อไปเรื่อยๆ เป็นไปได้อย่างไร ราคาแอลพีจีในตลาดโลกกิโลละ 24 บาท แต่รัฐบาลสั่งขายในกิโลละ 10 บาทกว่า แล้วก็เอาเงินผู้ใช้น้ำมัน เบนซิน แก๊สโซฮอล์ ดีเซล ไปชดเชยกิโลละ 14 บาท มันไม่ยุติธรรม
ส่วน ของขวัญชิ้นที่ 6-7-8 ก็เป็นมาตรการ "หาเสียง" เหมือนกัน ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วยใช้ฟรีแบบถาวร โดยจะเก็บเงินจากผู้ใช้ไฟมากไปชดเชย รวมทั้งการให้ซื้อขายไข่ไก่เป็นกิโลกรัมแทนการซื้อขายเป็นฟอง
ของขวัญที่ถูกใจคนกรุงมากที่สุดเห็นจะเป็น ของขวัญชิ้นที่ 9 เรื่อง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ที่ถูกตำรวจละเลยมาหลายปีแล้ว นับตั้งแต่เกิดเสื้อเหลืองเสื้อแดง ซึ่งนายกฯประกาศว่า จะทำให้เห็นผลภายใน 6 เดือน เริ่มตั้งแต่มกราคมนี้ จะลดปัญหาอาชญากรรมลงให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ คนกรุงเทพฯจะคอยดู ทำได้จริงอย่างที่คุยหรือไม่.
"ลม เปลี่ยนทิศ"